วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

กาเนิดปากกา

นอกจากตัวอักษรหรือตัวหนังสือซึ่งมนุษย์ได้คิดประดิษฐ์ขึ้นมาใช้แล้ว " เครื่องมือ " หรือ " อุปกรณ์ " ที่ใช้สำหรับการขีดเขียนก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะกว่าที่เราจะเขียนหนังสือด้วย "ปากกา " หรือ " ดินสอ " ดังเช่นในปัจจุบันนี้ มนุษย์ต้องใช้เวลาในการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการขีดเขียนเป็นเวลานานหลายพันปี ในยุคอดีตมนุษย์อาจจะใช้นิ้วจุ่มดินหรือหินสี ที่บดเป็นผงผสมกับยางไม้ หรือกาวจากหนังสัตว์ ขีดเขียนบนผนังถ้ำหรือเพิงผา ต่อมาอาจใช้ ดิน หิน ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยการนำมาฝนหรือทำให้เป็นแท่งเพื่อความสะดวกในการขีดเขียน เช่น นำหินชนวนมาทำเป็นดินสอหิน สำหรับเขียนบนกระดานชนวน หรือการทำชอล์กจากผงแคลเซียมซัลเฟต จากเกลือจืด หรือยิปซัมผสมน้ำ แล้วทำให้เป็นแท่งเพื่อสะดวกในการใช้งาน เช่นในปัจจุบันนี้ วิวัฒนาการของการเขียน จากการเขียนบนฝาผนังถ้ำ นำมาสู่การเขียนบนแผ่นไม้หรือแผ่นโลหะ ตลอดถึงการเขียนบนใบไม้ (เขียนหรือจารคัมภีร์โบราณลงบนใบลาน) มาจนถึงการประดิษฐ์กระดาษขึ้นใช้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มนุษย์ได้มีการพัฒนาเครื่องมือและกรรมวิธีในการเขียนมาอย่างต่อเนื่อง ชาวอียิปต์โบราณเป็นชาติแรกที่ใช้แปรงเขียนหนังสือบนแผ่นกระดาษที่ทำจากต้นปาปิรุส (papyrus) เป็นการเริ่มต้นวิธีการเขียนด้วยการปล่อยหมึกหรือสีบนแผ่นรองเขียน เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือด้วยพู่กันของจีนและญี่ปุ่น ซึ่งอาจเป็นแนวความคิดเบื้องต้นที่พัฒนาไปสู่การประดิษฐ์ปากกา ชาวกรีกโบราณประดิษฐ์ปากกาขึ้นจากต้นกกไส้กลวง โดยการปาดให้มีปากหลายๆแบบ ทำให้เขียนเส้นได้หลายขนาด ปากกานี้ไม่ใช้หมึกแต่ใช้เขียนบนผิวไม้ที่เคลือบขี้ผึ้งไว้ ทำให้เกิดรอยเป็นตัวอักษรบนผิวขี้ผึ้ง "ปากกาแพร่หลายในอังกฤษ" การนำวัสดุผิวเรียบมาเป็นสิ่งรองเขียนก่อให้เกิดการพัฒนา " เครื่องเขียน " ที่มีระสิทธิ ภาพสอดคล้องกับการใช้สอย มนุษย์เริ่มนำขนนกหรือขนห่านมาทำเป็น " ปากกา " เรียกว่า " ปากไก่ " สามารถเขียนได้คมชัดและเขียนติดต่อกันได้นาน ในศตวรรษที่ 5 " ปากไก่ " เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ นับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการเขียนหนังสือของชาวตะวันตก ในขณะที่ชาวตะวันออกยังนิยมใช้พู่กันไม้อยู่ แต่ทั้ง "ปากไก่" และ "พู่กัน" ไม่มีหมึกในตัวเอง ต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่ใช้เขียนทำให้เขียนได้ไม่สะดวก ต่อมาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 มนุษย์เริ่มประดิษฐ์ " ปากกา " ที่มีปากเป็นโลหะและมีรอยผ่าตรงกลางปาก ทำให้เขียนได้นานโดยไม่ต้องจุ่มหมึกทุกครั้งที่เขียน ในประเทศอังกฤษมีการทำปากกาชนิดนี้ขึ้นใช้กันอย่างแพร่หลาย มีการผลิต " ปากกา " ที่ปลายปากทำด้วยวัสดุต่างๆกัน เช่น เขาสัตว์ เปลือกหอย เหล็กและทอง มีการผลิตกันมากขึ้นจนกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม แข่งขันกันในเรื่องของความสวยงาม พร้อมกับประดิษฐ์กล่องและที่ใส่หมึกควบคู่ไปกับปากกาด้วย แม้ว่าจะได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถประดิษฐ์ปากกาที่มีหมึกในตัวเองได้ "บิดาแห่งการประดิษฐ์ปากกาหมึกซึม" ปี ค.ศ. 1884 Lewis Edson Waterman ได้ผลิตปากกาที่มีหมึกในตัว เรียกว่า " ปากกาหมึกซึม " (Fountain pen ) ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงถือว่า Waterman เป็นบิดาแห่งการประดิษฐ์ปากกาหมึกซึม มีการคิดค้นพัฒนาปากกาชนิดนี้ให้มีคุณภาพดีขึ้น สะดวกในการใช้งานและมีรูปทรงสวยงาม ผลิตในระดับอุตสาหกรรมทั้งในอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ สืบต่อมาจนถึงในปัจจุบัน มีนักประดิษฐ์ปากกาที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี อาทิเช่น George Parker, Walter A. Sheaffer เป็นต้น และได้ครอบครองความเป็นจ้าวแห่งเครื่องมือสำหรับการเขียนมาโดยตลอดเป็นเวลานานหลายสิบปี ในปี ค.ศ. 1900 " ปากกาหมึกซึม " ได้พบคู่แข่งใหม่นั่นก็คือ " ปากกาลูกลื่น " ปากกาที่มีลูกกลิ้ง ( Ball ) กลมๆเล็กๆ อยู่ที่ปลายปาก เวลาเขียนลูกกลมๆเล็กๆนี้จะหมุน ( กลิ้ง ) ทำให้หมึกออกมาติดบนกระดาษ ปากกาชนิดนี้เกิดขึ้นมาประมาณ 100 กว่าปีมาแล้ว โดยชาวอเมริกาชื่อ จอห์น เอช. ลาวด์ เป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ขีดเขียนบนพื้นที่หยาบๆ ซึ่งไม่ใช่กระดาษ ปลายปี ค.ศ. 1930 นักหนังสือพิมพ์และศิลปินชาวฮังกาเรียน ชื่อ ไบโร ได้ประดิษฐ์ปากกาลูกลื่นขึ้นมาใหม่ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารฉบับหนึ่ง ที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ไบโรได้เกิดแนวความคิดจากหมึกแห้ง ( Quick - drying ink ) ที่ช่างพิมพ์ในโรงพิมพ์นั้นใช้พิมพ์หนังสือ จึงคิดหาวิธีนำหมึกชนิดนี้มาบรรจุลงในปากกา โดยที่หมึกจะไม่ไหลและหยดออกมาจนเปื้อนกระดาษ ในที่สุดก็ประดิษฐ์ปากกาที่ใช้หมึกแห้งขึ้นมาจนเป็นผลสำเร็จ ซึ่งก็คือ " ปากกาลูกลื่น " ( Ball - point pen ) สามารถใช้ขีดเขียนโดยไม่มีหมึกหยดและไหลเปรอะเปื้อนเหมือนปากกาหมึกซึมแบบเก่า เส้นทางของปากกาลูกลื่น ปี ค.ศ. 1938 ไบโรได้ทำการจดทะเบียนสงวนลิขสิทธิ์ แต่ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมาก่อน เขาจึงได้หนีนาซีไปอยู่ที่ฝรั่งเศส สเปน และเร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไปอยู่ที่ประเทศอาร์เจนตินา ต้นปี ค.ศ. 1940 ณ กรุงบัวโนส ไอเรส ไบโรได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชายซึ่งเป็นนักเคมีผลิตปากกาลูกลื่นออกจำหน่าย แต่เนื่องจากขาดทุนทรัพย์ เขาจึงขายลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์นี้ให้กับราชการทหารของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในราคาไม่กี่เหรียญ ภายหลังลิขสิทธิ์ได้ถูกขายต่อให้กับบริษัท BIC ( ของฝรั่งเศส ) ทำการผลิตปากกาลูกลื่นยี่ห้อ BIC ออกจำหน่ายไปทั่วโลก ในระหว่างปี ค.ศ. 1950 - 1980 สามารถจำหน่ายได้กว่า 10 ล้านด้าม / วัน ในขณะเดียวกับที่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริงกลับไม่ประสบกับความสำเร็จในชีวิต สิ่งที่คงเหลืออยู่ก็คือความภูมิใจในสิ่งประดิษฐ์ที่คนทั่วโลกรู้จักและใช้ประโยชน์มาตราบเท่าทุกวันนี้

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

Flying Dutchman


เรือฟลายอิ้ง ดัทช์แมน (Flying Dutchman) หรือในภาษาดัทช์เรียกว่า “De Vliegende Hollander” เชื่อกันว่าเป็นเรือปีศาจที่จะร่อนเร่ไปตามน่านน้ำ จนกว่าจะถึงวันสิ้นสุดของโลก มักจะมาปรากฏตัวให้ผู้คนได้เห็นบ่อยในบริเวณแหลมกู๊ด โฮป (Cape of Good Hope) ว่ากันว่าจะมีแสงเรืองที่น่ากลัวออกมาจากเรือและมีกั ปตันเรือผู้ซึ่งแต่งกายแบบยุคสมัยเก่ายืนคุมเรืออยู่ พร้อมกับส่งเสียงอันโหยหวนน่าขนหัวลุกออกมามีเรื่องเล่าอยู่สองเรื่องที่เกี่ยวกับตำนานของเรือล ำนี้ เรื่องแรกเป็นเรื่องของกัปตันเรือ ที่ไม่นับถือศาสนา และไม่เชื่อในพระเจ้า จึงถูกพระองค์พิพากษาลงโทษ อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับนักเดินเรือที่ชื่อ เบอร์นาร์ด โฟคค์ ซึ่งให้สัญญากับปีศาจว่า ถ้าช่วยให้เขาเดินทางไปถึง อีสต์อินดีส ภายในเวลา 90 วัน เขาจะยอมตกอยู่ในอาณัติของมัน ทั้งสองเรื่องนี้ว่ากันว่าเป็นเหตุผลที่ทำไมเรือ Flying Dutchman จึงต้องระหกระเหินอยู่ในทะเลชั่วกาลนิรันดรเรื่องเกิดขึ้นเมื่อสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 เรือ Flying Dutchman เป็นของ Dutch East India Company เป็นเรือบรรทุกสินค้า และมีกัปตันชาวดัทช์ที่ชื่อ Van Der Decken ว่ากันว่าเขาเป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยม และเป็นคนไม่มีศาสนา ไม่นับถือพระเจ้าในปี ค.ศ. 1680 กัปตัน Van Der Decken ได้พาเรือFlying Dutchman ของเขา พร้อมลูกเรือไปยังดินแดนทางฝั่งตะวันออก และในขณะที่เขากำลังพาเรือกลับไปยังประเทศฮอลแลนด์นั ้น ได้เกิดพายุพัดกระหน่ำรุนแรง กัปตันได้พยายามต่อสู้กับพายุที่บ้าคลั่งอยู่นานเป็น ชั่วโมง จนพายุได้พัดเรือของเขาออกนอกเส้นทางไป และได้ไปชนกับหินโสโครก จึงทำให้ตัวกัปตันและลูกเรือของเขาจมสู่ก้นมหาสมุทรแ ละเสียชีวิตทั้งหมด ทุกคนเชื่อว่าพายุลูกนั้นเกิดจากการที่พระเจ้าได้พิพ ากษาลงโทษกัปตัน Van Der Decken และเรือลำนั้น เล่ากันว่าระหว่างที่กัปตันกำลังพยายามต่อสู้กับพายุ อยู่นั้น เขาได้ตะโกนออกมาว่า “I will round this Cape even if I have to keep sailing until doomsday!” แปลว่า “ข้าจะวนเวียนอยู่บริเวณแหลมนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล่องเรือจนถึงวันสิ้นสุดของโลกก็ ตาม”
แหลม Good Hope แต่ตำนานยังไม่จบสิ้นแค่นี้ เมื่อเรือ Flying Dutchman ได้ปรากฏให้ผู้คนได้พบเห็นหลายครั้งในปี ค.ศ. 1881 คนประจำเรือของพระเจ้าจอร์จที่ 5 ได้เห็นเรือ Flying Dutchman ปรากฏขึ้นทางด้านหัวเรือ และหลังจากนั้นไม่กี่วัน คนประจำเรือคนนั้นก็เสียชีวิตจากการพลัดตกเสากระโดงเ รือในปีเดียวกันนั้น เรือสินค้าสัญชาติสวีเดนได้แล่นผ่านบริเวณที่เรือ Flying Dutchman จม คนประจำเรือบนเสากระโดงได้มองเห็นเรือ Flying Dutchman และในตอนนั้นเขาก็พลัดตกลงมาจากเสากระโดงทันที ก่อนที่จะเสียชีวิตเขาได้บอกว่าได้เห็นเรือ Flying Dutchman กัปตันจึงได้ส่งคนขึ้นไปดูอีกที แต่ผ่านมาอีกสองวันเขาก็ได้เสียชีวิตลงอีกคนหลายปีต่อมา เรือ Relentless สัญชาติอเมริกาได้แล่นผ่านบริเวณแหลมกู๊ดโฮป กัปตันได้เห็นเรือ Flying Dutchman จึงสั่งให้นายท้ายเรือหันหัวเรือไปทางนั้น เพื่อที่จะเข้าไปดูอย่างใกล้ชิด แต่ทว่านายท้ายเรือก็ไม่ได้ทำตามคำสั่ง กัปตันจึงไปตรวจดูและพบว่านายท้ายเรือได้เสียชีวิตแล ้ว และในคืนนั้นคนประจำเรือก็ได้หายตัวไปจากเรือถึงสามค นยังมีตำนานเล่าขานมาอีก เกี่ยวกับการพบเห็นเรือ Flying Dutchman
-ในปี ค.ศ. 1911เรือ Orkney Belle กำลังเดินทางผ่านบริเวณแหลมกู๊ดโฮป และก็ได้มีรายงานว่าพบเห็นเรือ Flying Dutchman
-ในปี ค.ศ. 1939 มีคนกว่า 60 คน เห็นเรือ Flying Dutchman แล่นออกจากชายหาดผ่านพวกเขาไป และแล่นหายออกไปในความมืด
-ในปี ค.ศ. 1942 ผู้บังคับการเรือดำน้ำ U boats พลเรือตรี Karl Doenitz แห่งราชนาวีเยอรมัน ได้บันทึกในปูมเรือว่าพบเรือ Flying Dutchman แล่นผ่านเรือของเขาไป
-ในปี ค.ศ. 1942 ผู้บังคับการเรือ Nicholas Monsarrat แห่งเรือรบหลวง H.M.S. Jubilee ได้พบเรือ Flying Dutchman และได้พยายามส่งสัญญาณไปยังเรือนั้น แต่ไม่มีสัญญาณใดๆ ตอบกลับมา เขาได้บันทึกไว้ในปูมเรือว่าพบเรือใบไม่ทราบประเภทชั ้นเรือแล่นผ่านไปทั้งๆที่ไม่มีกระแสลมพัดอยู่เลย
ในปี ค.ศ. 1943 ชาวบ้าน 4 คนในเมือง Cape Town ได้เห็นเรือ Flying Dutchman แล่นหายไปทางด้านหลังของเกาะ
-ในปี ค.ศ. 1959 กัปตันเรือ Staat Magelhaen พบว่าเรือกำลังจะพุ่งชนเรือ Flying Dutchman แต่พอเรือเข้าใกล้กำลังจะชนปรากฏว่าเรือ Flying Dutchman ก็ได้หายไปในทันที

และยังมีอีกหลายครั้งที่เกิดพายุกระหน่ำรุนแรง บริเวณประภาคาร Cape light house มีบันทึกรายงานว่าได้พบเจอเรือ Flying Dutchman มาปรากฎให้เห็น

Hello,Every body

สวัสดีครับพ่อเเม่พี่น้องที่เคารพรัก ( มั้ง ) ทุกคนครับ
ผมอยากจะขอเเนะนำตัวสักนิดนึงนะครับ ผมชื่ออะไรไม่ต้องรู้หรอกครับ
เเต่ก็ยินดีที่ได้รู้จักนะครับผม
คือว่าผมไม่มีอะไรจะเเนะนำนอกจากชื่อเเละอื่นๆนะครับ
Okay เนื่องด้วยผมยังเป็นนักเรียนเก่งๆคนหนึ่ง ที่ชอบเล่นเบสบอล
เป็นชีวิตจิตใจ เเละความฝันของผมคือการไป Major Leagues Baseball
เพราะงั้นพ่อเเม่พี่น้องที่เคารพรัก ( มั้ง ) ทุกท่านครับ
ถ้ามีอะไรจะเสนอเเนะก็ตามนี้นะครับ
E-mail: parada_hope@windowslive.com
Tel: 081-4805486